Search

Walk down memory lane
Copenhagen, Denmark
  • Share this:

Walk down memory lane
Copenhagen, Denmark
.
ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2016 การเดินทางไกลครั้งแรกของเราเกิดขึ้นหลังจากที่เราพึ่งเรียนจบหมาดๆ โดยที่เรามีหมุดหมายเป็นประเทศไอซแลนด์ แต่ก่อนจะไปถึงประเทศไอซแลนด์นั้นเราต้องแวะต่อเครื่องที่ Copenhagen ก่อน ตอนนั้นเราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองนี้เท่าไรเลย รู้แค่ว่าจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามวัน และพอให้อุ่นใจหน่อยที่รู้ว่าค่าครองชีพที่ถูกกว่าเมืองอื่นๆ ในยุโรป เวลานั้นเราเป็นนักศึกษาจบใหม่ ทริปนี้คือรางวัลใหญ่รางวัลแรกในชีวิต เราเลยต้องวางแผนการใช้เงินในทริปนี้ให้ดี แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจแลกเงินเก็บทั้งหมดกับประสบการณ์เปิดโลกครั้งแรก
.
Copenhagen, เรื่องราวการเดินทางสั้นๆ ในเมืองเล็กๆจึงเกิดขึ้น ทันทีที่เครื่องบินเราแลนด์ถึงพื้นเราจำได้ว่าเป็นเวลากว่า 5 ทุ่มแล้ว
เราดูนาฬิกาใหม่อีกทีเพื่อเช็คให้แน่ใจว่า 5 ทุ่ม
แสงของพระอาทิตย์ยังไม่ทันพ้นไปจากท้องฟ้า ผู้คนก็ยังคงใช้ชีวิตกันอย่างปกติ บรรยากาศในเวลา 5 ทุ่มในตอนนั้นเลยดูไม่ต่างกับเวลา 5 โมงเย็นของบ้านเราเลย
.
โคเปนเฮเกนคือเมืองหลวงของประเทศเดนมาร์ค ตั้งอยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย ในช่วงที่เราเดินทางไปตอนนั้นเป็นฤดูร้อน ทำให้เมืองมีกลางคืนที่สั้นมาก ราวๆ 2-3 ชั่วโมง หรือที่ใครเคยได้ยินว่า ถ้าหน้าร้อนของยุโรป ยิ่งเข้าใกล้แกนขั้วโลกเหนือเท่าไร เราอาจได้พบเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนหรือที่เรียกว่า Midnight Sun
.
เรานั่งรถไฟและต่อด้วยรถบัสเพื่อเดินทางเข้าที่พัก ความเย็นของอากาศค่อยๆลดลงเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มหายไป รถไฟแล่นผ่านบ้านเรือนต่างๆ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ไม่ใช่แค่โครงสร้างของตัวตึก อาคารต่างๆ แต่โทนสีเองก็เป็นไปในโทนเดียวกัน ทำให้เมืองสี Earth Tone นี้กลายเป็นภาพที่แปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจสำหรับเราผู้ที่เพิ่งเคยเเดินทางไกลครั้งแรก
.
เราไม่เคยคิดว่าจะตกหลุมรักเมืองโคเปนเฮเกนได้ขนาดไหน จนกระทั่งเช้าตี 5 ของอีกวัน เราตื่นเร็วกว่าปกติเพราะร่างกายกำลังปรับตัวกับเวลาที่เปลี่ยนไป (เทียบกับที่ไทยตอนนั้น 11 โมงแล้ว) เมื่อข่มตาให้หลับต่อไม่สำเร็จเราเลยตัดสินใจลุกจากเตียง หยิบกุญแจบ้าน ใส่รองเท้าผ้าใบ เสียบหูฟังใส่หูทั้งสองข้างแล้วออกมาเดินเล่นคนเดียว ตี 5 ของที่นั้นในตอนนั้นยังไม่สว่างดี แม้บรรยากาศชวนให้ขี้เกียจนิดหน่อย แต่เราก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นเมืองนี้ในเวลาเช้าวันใหม่ เราเดินตามทางไปเรื่อยๆ พบเห็นอาคารบ้านเรือนที่มีลักษณะคล้ายๆกันทอดตัวยาวไปเรื่อยๆ โครงสร้างอาคารส่วนมากหลักๆ จะประกอบไปด้วยอิฐ ปูน กระเบื้อง เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เน้นการออกแบบสถาปัตย์ให้ออกมาเรียบง่ายและเลือกใช้แต่วัสดุที่เป็นสัจจะวัสดุ โทนสีก็คุมโทน ออกมาเป็นแค่ส้ม แดง น้ำตาลและครีม
ย่านที่เราพักอาศัยอยู่จะเรียกว่า Old Town ก็ไม่เชิง และเพราะทุกตึกถูกกำหนดให้ใช้รูปแบบอาคารรวมถึงสีที่ใกล้เคียงกัน มันเลยกลายเป็นภาพที่ดูแล้วสบายตาสบายใจมากเลยทีเดียว
.
พอสัก 7 โมงเช้าผู้คนเริ่มทยอยกันออกจากบ้าน แม้จะเป็นเวลาเริ่มต้นออกไปทำงาน แต่แปลกมากที่เราไม่ค่อยเห็นผู้คนรีบร้อนออกไปทำงานอย่างเมืองอื่นๆ สังเกตได้จากเสื้อผ้า ความเคร่งเครียดหรือความขวักไขว่ที่มีให้เห็นอย่างบางตา กลายเป็นภาพของทุกคนในเมืองกำลังออกมาใช้ชีวิต คนที่เดินสวนกับเรามีทั้งจูงสุนัขเดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย หรือไม่ก็กำลังดูแลต้นไม้ที่หน้าบ้านตัวเอง จนถึงตอนที่เรามีโอกาสได้พูดคุยกับคนที่อาศัยอยู่ในเมือง ตอนนั้นเองเลยได้เข้าใจว่าคุณภาพชีวิตของคนในเมือง คือเวลา เวลาที่มากพอที่จะทำให้เราไม่ต้องรีบร้อนในตอนเช้า การจราจรที่ไม่ติดขัด ผังเมืองที่เอื้อต่อการเดินทาง และการไปทำงานที่ไม่ต้องเผื่อเวลาเยอะๆ เวลานั้นเองที่เราเข้าใจแล้วว่าทำไม Copenhagen ถึงได้รับรางวัลเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกหลายปีซ้อน ก็มันน่าอยู่จริงๆนั่นแหละ
.
พอเริ่มสายหน่อย เราที่กำลังจะขึ้นรถไฟกลับบ้าน แต่ก็ต้องตกใจมากที่รู้ตัวอีกทีว่าลืมเอาตั๋วรถไฟแบบราย 3 วันขึ้นมาด้วยไปสนิท
สำหรับระบบสาธารณะของที่โคเปนเฮเกน ที่นี่ใช้ระบบความเชื่อใจ จะไม่มีการแสกนบัตร แต่ถ้าหากที่เจ้าหน้าที่มาสุ่มขอดูบัตรเราก็จะต้องมีให้เค้าดู แต่เราดันไม่มี และโชคดีซะด้วยที่วันนั้นเราก็บังเอิญเจอเจ้าหน้าที่จริงๆ ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่เรากล่าวขอโทษเจ้าหน้าที่คนนั้น และเสียค่าปรับไปตามกฎระเบียบ นี่ไง เหตุผลที่คนที่นี่เค้าไม่ใช้ชีวิตรีบๆ กันเวลาจะออกจากบ้านเพราะมันจะลืมพกตั๋วรถไฟออกมานี่เอง
.
เรากลับมาถึงบ้านมา เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แต่งตัวสบายๆ ใส่รองเท้าผ้าใบเหมือนเดิมเพราะอยู่ที่นี่เราเน้นเดินเป็นหลัก ตอนนั้นด้วยความที่ไม่ได้ทำการบ้านมาเท่าไหร่ แพลนของเราส่วนใหญ่เลยมีแต่การไปสวนสาธาณะและการไปเยี่ยมชมพระราชวังที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ กลิ่นของไอหญ้าลอยฟุ้งทั่วเมือง ช่างเป็นเมืองที่หอมกลิ่นธรรมชาติจริงๆ อันนั้นเราไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด ใครที่เคยไปเมืองนี้น่าจะเข้าใจได้ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วกลายเป็นว่าที่โคเปนดันจะมีฤดูกาลนึงที่ทุกคนในเมืองจะพร้อมใจกันเป็นภูมิแพ้ เพราะด้วยความที่ต้นไม้เยอะมาก เมื่อถึงฤดูที่ต้นไม้และดอกไม้ผลัดใบเลยทำให้เกสรลอยฟุ้งทั่วเมือง พัดพาไปยังบ้านเรือนต่างๆ ประชากรในเมืองจำนวนไม่น้อยเป็นโรคภูมิแพ้เกสร เราจะเห็นว่าคนในเมืองจะจมูกแดง ตาแดง และจามกันอย่างหนัก แต่เป็นแค่ไม่นานก็หายไป เพราะยังไงใจความสำคัญของที่นี่คือการมีชีวิตในเมืองที่อยู่ใกล้กับธรรมชาติที่สุด
.
และอีกหนึ่งที่ที่ทำให้เราตกหลุมรักโคเปนมากๆ ก็คือการที่มีเขตกัญชาเสรี หรือที่คนที่นี่เรียกว่าหมู่บ้านคริสเตียเนีย อยู่ในย่าน Free town พื้นที่ปกครองตนเองที่สามารถทำอะไรก็ได้ ภายใต้กฏหมาย บรรยากาศในหมู่บ้านข้างในดูแตกต่างจากด้านนอกสิ้นเชิง ราวกับคนละโลก เหมือนเป็นพื้นที่ที่คนในเมืองได้เข้ามาปลดปล่อยจากกฏระเบียบต่างๆ เพิ่มความสุขและอิสระให้กับตัวเอง เลยทำให้มองไปทางไหนเราก็จะคนที่นี่ถึงยิ้มแย้ม หน้าตาสดใสกันตลอดเวลา และเราก็เข้าใจว่าทำไม 🙂
.
ยิ่งช่วงนี้เราได้เห็นภาพของเมืองโคเปนเฮเกนบ่อยๆ จากสื่อต่างๆ ว่าเป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับว่ามีผังเมืองที่ดีที่สุด และผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นอันดับต้นๆแม้จะผ่านมาหลายปีจากครั้งที่เราไปมา อดคิดถึงโคเปนเฮเกนขึ้นมาไม่ได้ เมืองที่เราได้ใช้เวลาสั้นๆ แต่ประทับใจ เหมือนนึกถึงเมื่อไรก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ของในเมืองนั้นเลย สำหรับเรา ถ้าถามว่าในหลายๆประเทศที่เคยไปและอยากกลับไปไหนที่สุด ถ้าไม่นับอังกฤษ ที่นี่แหละคือที่ที่เราอยากจะกลับไปใช้เวลาให้มากกว่าเดิม อยากทำความรู้จักโคเปนเฮเกนให้มากกว่านี้
.
Love you since 2016
Mars
#ABOVETHEMARS


Tags:

About author
not provided